ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน พอจะนำมากล่าวถึงมี ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒ ลักษณะของพุทธภาษิต
ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะทางฉันทลักษณ์ ๒. ลักษณะทางเนื้อหา
๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทลักษณะ เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด ครุ ลหุ กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด ฉันท์ ๑ บท เรียกว่า ๑ คาถา ฉันท์ ๑ คาถา มี ๔ บาท ฉันท์ ๑ บาทมี ๘ คำ ไม่เกิด ๑๑ คำ หรือ ๑๔ คำ ตามประเภทของฉันท์ นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย ๖ ชนิด๕ คือ (๑ ) ปัฐยาวัตรฉันท์ (๒) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓) อุเปนทรวิเชียรฉันท์ (๔) อินทรวงศ์ฉันท์ (๕) วังสัฏฐฉันท์ (๖) วสันตดิลกฉันท์
อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า “นวังคสัตถุศาสตร์”๖ คือคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง คือ
๑ ) สุตะ คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
๒ ) เคยยะ คือ คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
๓ ) เวยยากรณะ (ไวยากรณ์) คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
๔ ) คาถา คือ คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ เช่น ธรรมบท, เถรคาถา, เถรีคาถา
๕ ) อุทาน คือ คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ เช่น สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง ซึ่งเป็นพระคาถา ๘๒ สูตร
๖. ) อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง อ้างอิง คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตตัง เหตัง ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้) เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาตมีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
๗ ) ชาดก คือ คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
๘. ) อัพภูตธรรม คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
๙. ) เวทัลละ คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒ ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้ มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้ “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒ อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย แต่มีลักษณะให้ทราบได้ ๓ ประการ คือ “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม ๘ ประการ อันมีมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง เช่น ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์ มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม มิได้ทรงอุบัติก็ตาม สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด เราตถาคตเป็น แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้ จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
“อานนท์ พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว, อานนท์ พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี ๓ อย่างด้วยกัน และวิธีการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
๑) พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น ประมวลลงในหลักการ ๓ อย่างคือ๘
๑ ) สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
๒) สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
๓) ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์ เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น ก็คือความทุกข์นั้นเอง ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ ) พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.) พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
๔.) หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
๕ ) พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
๖.) พุทธภาษิต เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ ) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ ) พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ ) พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ ) พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ ) พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
๑๓ ) พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
๑๔ ) พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
๑๕ ) พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร
๑๖ ) พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
๑๗. ) พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น