วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

::สำนวนเปรียบเทียบโวหารและสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในคำผญ๋าอีสาน :บ่าวริมโขง :bandonradio

๒.๑.๓  สำนวนเปรียบเทียบ  โวหาร  และสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในผญาอีสาน
    การใช้เป็นความเปรียบเทียบสภาพสิ่งต่างๆ  ทั้งรูปธรรมและนามธรรมอย่างน้อยที่สุดสองอย่าง  เพื่อช่วยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ  สำนวนเปรียบเทียบในผญาอีสานมีลักษณะพอสรุปได้ดังนี้
    ๑.  ใช้เป็นบุคลาธิษฐาน [ personification] เป็นการใช้ภาษาในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่คนเป็นคน  โดยให้สรรพสิ่งเหล่านั้นแสดงอากัปกิริยาต่างๆ  ราวกับเป็นคน  คือพูดได้  ร้องให้ได้  มีความรู้สึก  เป็นการพูดเพื่อให้เกิดคติพจน์และสเทือนอารมณ์  หรือทำให้เกิดสิ่งที่มีคุณค่า ดังคำผญานี้ว่า
    “ เจ้าผู้นาไฮ่ล่งประสงค์ดำแต่กล้าแก่  กล้าอ่อนมีบ่แพ้ดำได้กะบ่งาม” ( เจ้าผู้นาผืนลุ่มประสงค์ดำแต่กล้าแก่  กล้าอ่อนมีมากมาย  ปลักดำได้ก็ไม่งาม) 
    นาไฮ่ล่ง  เป็นนาที่ลุ่มที่สมบูรณ์มีน้ำมาก  ใช้เปรียบเทียบกับสตรีที่มีความงดงามและมีฐานะดี  เพราะนาอย่างนี้เป็นที่สมบูรณ์มากกว่านาดอนที่ไม่มีน้ำท่วมถึงย่อมขาดแคลน  เปรียบเทียบให้เห็นว่า  ชีวิตมนุษย์ย่อมแสวงสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง  เหมือนบุรุษย่อมแสวงหาสาวที่งดงามและมีฐานะมั่นคงจึงจะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น
    คำผญาอีสานที่มักจะเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวมากกว่าเช่น “ บัว, แก้ว,นิล ,ช้าง และหงส์” กวีมักจะนำมาใช้แทนสัญญลักษณ์ถึงสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้สนใจ  ดังคำผญานี้ว่า 
    “ เจ้าผู้แนวนามแก้วมหานิลอันประเสริฐ  สังบ่ไปเกิดก้ำทางบ้านบ่อนนาง  สังบ่เดินมาผ้ายคาเมบ้านน้องอยู่  ครั้นพี่มาอยู่พี้บ่มีได้อยู่นาน”  ( เจ้าผู้เชื้อชาติแก้วมหานิลอันประเสริฐ  ทำไมไม่ไปเกิดที่ทางบ้านน้อง  ทำไมไม่เดินผ่านไปทางบ้านน้อง  ถ้าพี่ไปอยู่ทางนั้นคงได้แต่งงานนานแล้ว) 
    แก้วและนิล  ถือเป็นอัญมณีที่มีค่าสูงส่ง  ใครก็ต้องการเก็บไว้ครอบครอง  การที่เรียกคนที่ตนรักเช่นนี้เป็นการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญควรแก่การจะแต่งงานด้วย  นักปราชญ์อีสานก็มักจะนำเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามนำเปรียบเทียบสั่งสอนให้คนได้รู้จักไตรตรองพิจารณาให้รอบครอบ  การครองคู่ชีวิตจะต้องอาศัยความอดทนต่อความลำบากต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ดังคำผญาสอนว่า
    “โอ้ย  ครั้นเจ้ามักข้อย  แกงหอยให้มันเปื่อย   แกงปลาให้เปื่อยก้าง  แกงช้างให้เปื่อยงา”  (โอ  ถ้าคุณรักฉันจงแกงหอย  แกงกระดูกปลา  แกงงาช้างให้ยุ้ย)  จะเห็นว่าทั้ง หอย ก้างและงาช้าง  นั้นเป็นของแข็งที่ต้มแล้วไม่เปื่อยยุ่ย   เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ละลายได้จะต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนมาก  ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าผญาอีสานมักจะแนะนำให้รู้จักกระรักษาสิ่งที่ดีแล้วให้อยู่ตลอด  หรือให้มีความอดกลั้นต่ออุปสรรคต่างๆจึงจะพบกำความสำเร็จได้ 
    ๒.  ใช้เป็นเชิงอุปลักษณ์ [Metaphor]  คือใช้เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกอย่าง  เป็นการเปรียบเทียบโดยนัย  โดยใช้คำว่า อดสาห์  คือ  ในการเปรียบเทียบหรืออาจจะไม่มีคำเหล่านี้เลยก็ได้  ดังคำผญาว่า 
    “อดสาห์  เลี้ยงช้างเฒ่าขายงาได้กินค่า      เลี้ยงช้างน้อยตายจ้อยค่าบ่มี (อดทนเลี้ยงช้างแก่ๆไว้ขายงาได้ราคาดี  หากว่าเลี้ยงช้างน้อยถ้าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร)  เปรียเทียบให้เห็นว่าถ้ารักกับคนที่มีอายุมากกว่าจะดีกว่ารักกับคนที่มีอายุน้อย  จุดประสงค์ต้องการให้เลือกสรรเอาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์  ไม่มีความอดทนพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ของชีวิตในอนคตได้เท่ากับคนแก่ หรือตรงกับภาษิตว่า  วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน  เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถ้าคนเราเคยสร้างกุศลมาร่วมกันย่อมได้พบกันอีก  แต่ถ้าความรักไม่สมหวังก็มักจะพูดว่า    “ เหลือแฮ็งสร้างกฐินบ่ได้แห่    บาดผู้เพิ่นบ่สร้าง  สังมาให้แห่มา”  (เสียแรงสร้างกองกฐินใหญ่โตแต่ไม่ได้แห่  ทีคนที่ไม่ได้สร้างทำไมได้มาแห่ ) คำผญาบทนี้สะท้อนถึงอารมณ์ของผู้ที่อกหักได้ดี หมายถึงคนอื่นได้ไปครอบครอง กวีมักจะนำเอาสิ่งสองอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า  สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  เป็นมนุษย์ควรที่จะรักษาคำสัตย์ต่อกัน  ดังคำผญาว่า
    “ สัจจาแม่หญิงนี้    คือกวยกะต่าห่าง
    ถิ้มใส่น้ำ          ไหลเข้าสู่ตา
    “สัจจาผู้ชายนี้    คือหินนักหมื่น
    เซือกผูกทื้น    พันเส้นบ่ติ่ง
    (วาจาของสตรีเปรียบเหมือนตะกร้าที่ตาห่าง  ทิ้งลงในน้ำย่อมไหลเข้าทุกแห่ง และวาจาของบุรุษเปรียบเหมือนหินที่หนัก ๑๒ กิโลกรัม เอาเชือกผูกพันเส้นมาดึงก็ไม่ขยับเขยื้อน ) เปรียบให้เห็นว่าคำพูดของสตรีเชื้อถือได้อยาก  ส่วนคำพูดของผู้ชายมีความนักแน่นควรเชื้อถือได้  นี้เป็นคำที่คู่สนทนาระหว่างสตรีกับบุรุษที่ต่างกันก็ยกเหตุผลมาอ้างว่าฝ่ายตนเองนั้นมีสัจจะ  แต่มนุษย์ชายหญิงในโลกนี้ย่อมมีทั้งที่ยึดหมั่นในคำสัตว์  แต่ก็มีมากที่ไม่มีคำพูดที่เป็นคำสัตย์ต่อกัน  คือมีดีและเสียเท่าๆกัน  ถ้ามีดีตลอดก็จะไม่มีใครผิดหวังเพราะความรัก  ในเมื่อโลกมนุษย์ยังตกอยู่ในโลกธรรมแปด

bandonradio

0 ความคิดเห็น:





กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons