วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พุทธศาสนสุภาษิตมีสะท้อนถึงการแต่งเพลงลูกทุ่ง

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

.๒.๔ พุทธศาสนสุภาษิตมีต่อเพลงลูกทุ่ง กวีมักจะนำมากล่าวให้สติมักจะแทรกอยู่ในคำสอนต่าง ๆ ตามแต่จะเหมาะสม เช่นในบทเพลงความรัก ความผิดหวัง ก็จะแทรกไว้แล้วแต่เนื้อความและสถานการณ์ เช่น บทเพลงเปรียบเทียบการคบคนต้องดูที่หน้าตาเสียก่อน เหมือนกับการซื้อผ้าต้องดูเนื้อ รวมไปถึงการที่จะคบกับสตรี คนไทยเรานิยมการดูที่ครอบครัวด้วย มักจะมีคำโบราณพูดเสมอว่า “ดูนางให้ดูแม่ ถ้าจะดูให้แน่ดูถึงแม่ยาย”

การจะเลือกคู่ครองนั้นต้องถือว่าสำคัญยิ่ง เพราะจะต้องหาเนื้อคู่ที่อยู่ในอุดมคติของตนคือเป็นคนดี เรียกว่าให้มีเรือนสามน้ำสี่(เรือน ๓) แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็กล่าวไว้ในเรื่องของสตรีที่บุรุษชอบใจแท้ ดังที่พุทธพจน์ตรัสไว้ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย สตรีที่ประกอบด้วยองค์ ๕ ย่อมเป็นที่พอใจโดยส่วนเดียวของบุรุษ” ผู้หญิงที่เป็นแม่ศรีเรือน เป็นผู้งามด้วยจรรยามารยาทรู้หน้าที่การงานย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ

สังคมไทยแม้จะยกย่องชายที่บวชแล้วเรียนแล้วว่าเป็นคนสุก สังคมไทยก็ไม่นิยมให้ชายบวชหลายครั้งจนถึงมีคำพังเพยเรื่องการบวชหลายครั้งว่า “ชายสามโบสถ์” เป็นสิ่งต้องห้าม(ลักขณา)

๓.๒ อิทธิพลของหลักคำสอนที่สะท้อนถึงการแต่งบทเพลงลูกทุ่งต่างๆ

หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาคือจริยธรรมนั่นเอง จริยธรรมอิทธิพลเหนือจิตใจมนุษย์อย่างยิ่ง จริยธรรมเป็นทั้งข้อความปฏิบัติและข้อห้ามจริยธรรมมีอิทธิพบต่อกวีมากเช่นกัน(นิพนธ์) ในขณะเดียวกันผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาจึงแยกพระพุทธศาสนาในสังคมไทยเป็น ๒ แบบ คือ พระพุทธศาสนาตามหลักธรรมของพระศาสดา (Doctrinal Buddhism) อีกอย่างหนึ่ง คือ พระพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน (Popular Buddhism)

ฉะนั้น ผู้ศึกษาจึงต้องพิจารณาความเชื่อทางด้านพระพุทธศาสนาแบบชาวบ้านมากกว่าพุทธศาสนาแบบทฤษฎีหลักธรรมของพระศาสดา(ธวัช) บทเพลงลูกทุ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นวัฒนธรรมทางคติธรรม เป็นบทเพลงที่มีจุดประสงค์ที่จะสอนประชาชนในด้านจริยธรรม ความประพฤติตลอดจนการดำรงชีวิตในสังคม ซึ่งเป็นลักษณะของการสะท้อนศีลธรรม และนักกวีเหล่านั้นเป็นผู้มีกุศโลบายอันดี จึงนำคำสอนเหล่านี้มาร้อยกรองให้กะทัดรัดสละสลวยและสะดวกต่อการจดจำ โดยสรุปรวมยอดแล้ว มีความหมายเป็นเหมือนคติธรรมโดยทั่วไป คือ

๑) มุ่งให้ละชั่วล

๒) มุ่งให้ทำความดี(สุวรรณ)

ด้วยเหตุนี้กวีจึงนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาสอดแทรกในบทเพลงลูกทุ่งไทยเท่าที่จะมีโอกาส จึงกลายเป็นภาษิตและคำสอนต่าง ๆ เช่น

๑) โลกธรรม

๒) มงคลสูตร

๓) ไตรลักษณ์

๔) อบายมุข

๕) ทิศหก

.๒.๑ โลกธรรม ๘

ธรรมดาของโลก หรือความเป็นไปตามคติธรรมดา ซึ่งหมุนเวียนมาหาชาวโลก และชาวโลกก็หมุนเวียนตามมัน

ไป บุคคลที่ไม่ประมาทมัวเมาจนตกเป็นทาสของโลกและชีวิตอย่างที่เรียกได้ว่า หลงโลกเมาชีวิตเพราะมีสติ รู้จักมองพิจารณา รู้จักวางตัววางใจต่อความจริงต่าง ๆ อันมีประจำอยู่กับโลกและชีวิตนั้นเป็นคติธรรม(พระเทพเวที) หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสอนให้รู้ทันโลกธรรมคือรู้จักพิจารณาเท่านั้นตั้งสติให้ถูกต้องต่อสภาวะอันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในชีวิตที่อยู่ท่ามกลางโลก ซึ่งเรียกว่า “โลกธรรม”(ได้ลาภ)

เพลงลูกทุ่งหลาย ๆ เพลงมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเรื่องโลกธรรมทั้ง ๘ ประการที่สอดแทรกในเนื้อหาสาระของบทเพลง แม้ครูเพลงบางคนอาจจะไม่ตั้งใจที่จะเขียนบทเพลงในทำนองนี้ก็จริง แต่เนื้อหาเหล่านั้นกลับเชื่อมโยงเข้าหาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาโดยไม่ตั้งใจ เป็นเครื่องยืนยันในส่วนลึกของจิตใจของครูเพลงนั้น มีความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย เนื้อหาสาระจึงปรากฏออกมาเช่นนั้น จึงถือได้ว่าความละเอียดอ่อนนั้นได้ปรากฏมีอยู่ในเพลงลูกทุ่ง ทำให้ผู้ฟังนอกจากได้รับความเพลิดเพลินจากเสียงเพลงแล้วยังได้ประโยชน์ โดยเสียงเพลงซึมลึกและสื่อความหมายของหลักธรรมได้อย่างไม่รู้ตัว

ก. มีลาภ เป็นโลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ ที่เกิดมีแก่ใครแล้วย่อมเป็นที่พอใจ จนไม่อยากให้เสื่อมสลายไป ถ้าไม่รู้เท่าทันก็จะตกเป็นทาจนเกิดการแสวงหาไม่มีคำว่าพอดี ซึ่งถือว่าเป็นโลกธรรมที่มีอยู่คู่โลกมายาวนานเพลงลูกทุ่งถึงการเก็บเงินแต่งงานถือว่าเป็นการหาทรัพย์หาได้โดยสุจริตประเพณีในชนบทฝ่ายชายจะต้องเตรียมพร้อม

ค่านิยมของคนไทยสมัยปัจจุบันนี้วัดกันที่ฐานะ โดยจะแข่งขันกันรวย ไม่ยอมน้อยหน้าซึ่งกันและกัน การมีรถ

หรือเครื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ อยู่ในบ้านอย่างเพียงพร้อมถือว่าเป็นคนมีฐานะ สิ่งเหล่านี้ถ้าจะคิดให้ดีก็ถือว่าตกอยู่ใต้อำนาจของโลกธรรมนั่นเอง เพราะคนทั่วไปมักยอมรับทรัพย์สินทั้งหมดนั่นคือลาภ ที่ได้มากอย่างภาคภูมิใจ

เมื่อมีรถมักจะโอ้อวด แสดงตนเป็นเศรษฐี ชอบขี่อวดสาว ๆ เพื่อหวังผลคือเป็นสื่อเรียกร้องความสนใจ เพื่อมุ่งหวังจะให้ผู้หญิงสนใจตนและสุดท้ายก็ขึ้นไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ

ข.ไม่มีลาภ เป็นโลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ไม่น่าปรารถนาของคนทั่วไป ผู้กำลังประสบอยู่เพลงลูกทุ่งหลายเพลงที่กล่าวถึงการสูญเสียหรือการขาดลาภซึ่งเป็นเรื่องของชาวโลกที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นเรื่องของโลกธรรม และถือว่าเป็นธรรมดาของชาวโลกที่มักประสบพบทุกคน ขึ้นอยู่ว่าใครจะอยู่เหนือโลกธรรมเหล่านี้ได้ ลีลาและอารมณ์เพลงเป็นไปในทางล้อเลียนสังคมกลายแต่ก็ทำให้เราเห็นคนอีกพวกหนึ่งที่ไม่ยอมใช้แรงงานของตนให้คุ้มค่า โดยการคอยรับการทำงานทำเป็นหลักแหล่ง(ลักขณา)

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ค่านิยมในเรื่องเงินและทรัพย์สมบัตินี้เป็นสิ่งที่คู่กับสังคมไทยจนมีคำพังเพยที่กล่าวว่า “เรือล่มในหนองทองจะไปไหน” ซึ่งหมายความว่าชายหญิงที่มีฐานะและสมบัติทัดเทียมกันถ้าได้แต่งงานกันก็จะทำให้มั่นคงยิ่งขึ้นไป เพลงลูกทุ่งกล่าวถึงคำพังเพยข้างต้นไว้(จินตนา)

ค. ยศ เป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนปรารถนาด้วยกันทั้งนั้น เพราะการมียศถาบรรดาศักดิ์นั้นทำศักดิ์ศรีของตนเองสูงขึ้น ชาวโลกทั้งหลายจึงติดอยู่ที่ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่สามารถที่จะนำให้ตนอยู่เหนือโลกธรรมก็ได้ ซึ่งต่างกับพระโสดาบันหรือบุคคลโสดาบันได้ก้าวหน้าแน่วดิ่งไปแล้วในทางแห่งการตรัสรู้เขาย่อมเข้าใจโลกและชีวิตมากพอที่จะไม่หลงตีราคาโลกธรรมต่าง ๆ ไปตามแรงปลุกปั่นของกิเลส(พระเทพเวที) บทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงเรื่องในของยศถาบรรดาศักดิ์ไว้อย่างมากมายแม้ตำแหน่งที่กล่าวนั้นเป็นตำแหน่งระดับชาวบ้านก็ตาม แต่นั่นหมายถึงการครองตำแหน่งที่สูงเกียติของชาวชนบทเหมือนกัน

ง. เสื่อมยศ เป็นฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่นานปรารถการเปลี่ยนแปลงของโลกธรรมนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่โลกยังหมุนเปลี่ยนไปอยู่เมื่อชีวิตของมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับโลกธรรม แน่นอนที่สุดโลกธรมทั้ง ๘ ประการดังกล่าวจะต้องติดตาม หรือหมุนตามเราไปตลอดเช่นนั้น เพียงแต่ว่าโลกธรรมฝ่ายไหนจะมาก่อนหรือหลังเท่านั้นเอง และบทเพลงลูกทุ่งนั้น ครูเพลงได้เรียบเรียงไว้อย่างมากมาย ในทำนองของการเสื่อมจากยศที่มีอยู่ซึ่งอาจจะหมายเอาประเด็นธรรมะตรง ๆ แต่ก็พอจะอนุโลมได้บ้างในฐานะเป็นการสูญเสียเหมือนกัน อย่างน้อยผู้ที่ตกอยู่ในภาวะกำลังเสื่อมจากยศหรืออะไรก็ตามก็ล้วนแล้วแต่ประสบทุกข์ติดตามมาเช่นเดียวกัน

เพลิน พรหมแดน ได้ร้องเพลง “คนไม่มีดาว” ไว้เป็นบทเพลงที่เปรียบเทียบระหว่างคนจนกับคนรวย คนมีศักดิ์ศรีกับคนที่ไม่มีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นและเข้าใจว่า การมีฐานะต่างกันนั้น มันหมายถึงการไม่คู่ควรกันโดยประการทั้งปวง เพลงประเภทนี้ก็คงสรุปลงในธรรมะข้อที่ว่าการเสื่อมลาภได้เช่นเดียวกัน เพราะคนไม่มีดาวก็หมายถึงคนไม่มียศนั้นเอง

ง. สรรเสริญ โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ เป็นธรรมที่ทุก ๆ ปรารถนา เป็นธรรมดาอยู่เองที่มนุษย์ทุกคนมักชอบพูดหวาน ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งในสังคมปัจจุบันบางคนบริจาคทรัพย์ทำบุญเพียงเพื่อหวังคำเยินยอสรรเสริญเท่านั้น จนมีคำพูดตามมาเสมอ ๆ ว่า “ทำบุญเอาหน้า” หรือแม้กระทั่งบางคนทำดีก็แค่หวังให้คนอื่นสรรเสริญเท่านั้นเอง หลักธรรมข้อนี้มีอยู่ประจำโลก

การบริจาคทรัพย์ของตนเพียงเพื่อหวังแค่คำสรรเสริญมีอยู่มากมายในสังคมทั่วไป ในกรณีเช่นนี้ย่อมผิดแผกไปจากพระโสดาบัน ซึ่งเมื่อทำการเสียสละบริจาคในการช่วยเหลือแก่ผู้อื่น (จาคะ) ก็ตาม เขาจะไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังได้ลาภ เกียติ ยศ สรรเสริญ สุข สวรรค์ อย่างโลกียปุถุชนทั้งหลาย(พระราชวรมุนี)

คำสรรเสริญ ถ้าใครได้ประสบก็มักจะฟูใจ แต่ในขณะเดียวกันถ้าใครผิดหวังก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาจึงให้ทุกคนมีสติรู้เท่าทันโลกธรรมที่มีอยู่ประจำโลก ทุก ๆ คนถ้าต้องการคำสรรเสริญเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจิง คนประเภทนี้จัดว่าเป็นคนพาล ดังปรากฏในพระไตรปิฎกว่า

“ภิกษุพาลปรารถนาคำสรรเสริญที่ไม่เป็นจริง ความ

เด่นออกหน้าในหมู่ภิกษุ ความเป็นใหญ่ในอาวาสทั้งหลาย

และการบูชาในตระกูลคนอื่น (เขาคิดว่า) ขอให้คนทั้งหลาย

ทั้งพวกคฤหัสถ์และบรรพชิตจงสำคัญว่าสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว

ก็เพราะอาศัยเราคนเดียว ขอให้ทั้งสองพวกนั้น จงอยู่ใน

อำนาจของเราเท่านั้น ในกิจน้อยใหญ่ไม่ว่าอย่างใด ๆ คน

พาลมีความดำริ ดังนี้ ความริษยามานะ (ความถือตัว) จึงมีพอกพูน”(ขุ.ธ.)

จากการค้นคว้าเพลงลูกทุ่งทั้งหลาย ส่วนมากมักจะเป็นบทเพลงที่เกี่ยวกับความรักแต่ในเนื้อหาเพลงเหล่านั้นมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแฝงอยู่ ซึ่งถ้าคนไม่สนใจเพลงลูกทุ่งอย่างจริง ๆจัง ๆ แล้ว มักจะมองไม่เห็นและอาจมองข้ามไป

ดังนั้น คำสรรเสริญจึงมีปรากฏอยู่มากพอสมควร แม้นหลาย ๆ เพลงอาจจะกล่าวถึงเรื่องของหนุ่มสาวที่ต้องการความสนุกสนานรื่นเริงเท่านั้นก็ไม่ได้หมายความว่าสาระไม่มี แท้ที่จริงแล้วนั้นสาระและความหมายย่อมสอดแทรกอยู่ในบทเพลงนั้น ๆ

เพลงลูกทุ่งที่ใช้คำไพเราะมักเป็นเพลงที่แสดงถึงความรัก และชมธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมทั้งความคิดฝันซึ่งเป็นบทเพลงสรรเสริญ

ฉ. นินทา คือโลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ที่เป็นธรรมประจำคู่โลกมาตลอด ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าสรรเสริญ ผู้ถูกนินทามักไม่ชอบใจและอาจกลายเป็นความผูกโกรธพยาบาทได้ การนินทามิใช่ของใหม่เป็นเรื่องเก่าแก่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์พร้อมกันกับโลก (โลกธรรม แปลว่า ธรรมประจำโลก) ส่วนนี้มิได้หมายความว่า โลกขาดจากการนินทาไม่ได้ แต่การนินทาต่างหากที่ไม่ขาดไปจากโลก เพราะเมื่อคนยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่ชอบใจก็มักจะถูกยกย่องสรรเสริญ สิ่งที่ไม่ชอบใจก็มักจะนินทา ก็เพราะไม่เป็นที่สบอารมณ์นั่นเอง กล่าวได้ว่าทุกคนย่อมจะหนีการนินทาไปไม่พ้น พังพุทธสุภาษิตว่า “นิตฺถิ โลเก อนินฺทิโต คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก”(ขุ.ธุ.)

ห้ามไฟไว้อย่าให้ มีควัน

ห้ามสุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้

ห้ามอายุให้หัน คืนเล่า

ห้ามดั่งนี้ไว้ได้ จึ่งห้ามนินทา

(โคลงโลกนิมิต)

หรือ อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ

ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน

แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน

มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา

(พระอภัยมณี)

ช. สุข ขึ้นชื่อว่าความสุขนั้นย่อมเป็นที่ปรารถนาของคนทุก ๆ คนและทุก ๆ คนย่อมเคยประสบความสุขมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ความสุขเป็นอย่างไรจึงเป็นที่รู้จักกันอยู่ในเวลาที่กายและจิตใจอิ่มเอิบสมบูรณ์สบายดีกล่าวกันว่าเป็นสุข ความสุขจึงเกิดขึ้นที่กายและจิตใจนี่เอง

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

อย่างไรก็ตาม ความสุขที่แท้จริงในทางพระพุทธศาสนาท่านหมายเอาความสุขคือพระนิพพาน แต่ในขณะเดียวกันความสุขสำหรับสังคมปัจจุบัน ท่านหมายเอาสุขที่เป็นไปตามโลกธรรม อันหมายการมีเงิน ทอง ยศ ชื่อ เสียง เป็นต้น อันเป็นอุปกรณ์แห่งความสุข แต่สำหรับพระพุทธศาสนาไม่ได้มองความสุขเช่นนี้เป็นความสุขที่แท้จริง เพราะปัจจัยภายนอกเป็นเหตุแห่งความสุข ผู้ที่มีสิ่งภายนอกบริบูรณ์เป็นสุขทุกคน แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ที่บริบูรณ์ด้วยสิ่งภายนอกแต่เป็นทุกข์ถมไป เพราะเหตุนี้ สิ่งภายนอกจึงมิใช่เป็นตัวของความสุข เป็นเพียงเครื่องแวดล้อมอุดหนุนความสุขเท่านั้น (สมเด็จพระญาณสังวร)

ความสุขมีความสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนอาจกล่าวได้ว่า พุทธจริยธรรมไม่แยกต่างหากจากความสุข เริ่มแต่ขั้นในการทำความดีหรือกรรมดีทั่ว ๆ ไปที่เรียกว่าบุญ (พระราชวรมุนี) ก็มีพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า “บุญเป็นเรื่องของความสุข”(ขุ.อิติ.) เป็นความสุขที่ทุกคนปรารถนาและได้รับหลังจากการกระทำลงไป

อีกประการหนึ่ง ความสุขที่แท้จริงสำหรับผู้ครองเรือนนั้นอาจแบ่งได้ ๔ ประการ คือ

๑) อัตถิสุข สุขเกิดจากการมีทรัพย์

๒) โภคสุข สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์

๓) อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้

๔) อนวัชชสุข สุขเกิดจากการทำงานสุจริตไม่มีโทษ โดยไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น(องฺ.จตุกฺก.)

จากการศึกษาในบทเพลงลูกทุ่งส่วนมาก จะกล่าวถึงในแง่ของความเป็นจริงที่ประสบในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสุขของ

ตนเองและผู้อื่นแม้กระทั่งการปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุขด้วย ในทางพระพุทธศาสนาอาจจะสงเคราะห์เข้ากับคำว่า “เมตตา” เมตตาเป็นข้อธรรมที่รู้จักกันทั่วไปแต่มีปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจถูกบ้าง คำแปลสามัญของเมตตา คือ ความรัก ความมีไมตรี ความปรารถนาความอยากให้ผู้อื่นเป็นสุขและประสบแต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์(พระราชวรมุนี)

ทุก ๆ คนย่อมไม่ปฏิบัติเลยว่าความสุขที่ได้รับนั้นจะมาในรูปแบบใดก็ตาม แต่ผลที่ได้รับความยินดีของผู้สัมผันนั้นเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้สาระของเนื้อเพลงลูกทุ่งในยุคนี้มีทุกประเภทที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันของสังคมไทยทั้งเมืองหลวงและชนบท นับตั้งแต่การตัดพ้อของหนุ่มบ้านนา การ

ฌ. ทุกข์ เป็นธรรมะฝ่ายอนิฎฐารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนไม่ปรารถนาแต่มนุษย์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตของตนส่วนหนึ่ง ต้องเผชิญกับความทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ชอบ แต่ก็หลีกไม่พ้น ในเพลงลูกทุ่งต่อไปนี้ ผู้วิจัยจะยกให้เห็นว่ามนุษย์นั้นแยกออกจากความทุกข์ไม่ได้ เพราะถือว่าธรรมชาติที่เป็นโลกธรรมทุกคนจะต้องประสบอย่างแน่นอน

ทุกข์นั้นแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่

๑) ทุกข์ทางกาย (กายิกทุกข์) หมายถึงความทุกข์ที่เกิดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น เจ็บขา เจ็บมือ ปวดหัวเป็นต้น

๒) ทุกข์วางใจ (เจตสิกทุกข์) หมายถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ เมื่อมีทุกข์ตรัสถึงสิ่งที่เป็นเหตุผลแก่กันคือผลย่อมมาจากเหตุ เมื่อมีผลก็ต้องมีเหตุทำให้เกิดผลนั้น ดังที่พระอัสสชิกล่าวถึงพระพุทธองค์ว่า

“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุและความ

ดับของธรรมเหล่านั้นพระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”(เย.ธมฺมา)

เมื่อพระองค์ตรัสเรื่องทุกข์ ก็ตรัสเรื่องสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ด้วยซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่าทุกขสมุทัย ซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐอย่างหนึ่งดังปรากฎในปฐมเทศนาและสติปัฎฐานสูตรว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน ตัณหานี้ใดอันมีความเกิดอีกประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลินเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานี้นั้นเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่ไหน เมื่อจะตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ที่ไหน ที่ใดเป็นที่รักเจริญใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯลฯ รูปวิจาร สัทวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ

ในทัศนะทางพระพุทธศาสนานั้นได้ชี้ให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วสุขไม่มี มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ดังปรากฏในวชริสูตรว่า

“ความจริงทุกข์เท่านั้นเกิด ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ”(ทุกฺขเมว)

0 ความคิดเห็น:





กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons