วรรณกรรมเรื่องเสียวสวาสดิ์
เรื่องย่อ
ณ เมืองพาราณสี มีกดุมพีสองผัวเมีย มีลูกชายสองคน คนพี่ชื่อศรีเฉลียวคนน้องชื่อเสียวสวาสดิ์ เมื่อเจริญวัยแล้วพ่อแม่แบ่งเรือนให้คนละหลัง และพ่อของศรีเฉลียวและเสียวสวาสดิ์ได้อบรมสั่งสอนลูกของตนด้วยข้อวัตรปฏิบัติและจารีตประเพณีและศีลธรรม เมื่อพ่อแม่ตายแล้วเสียวสวาสดิ์ได้ไปค้าทางเรือสำเภา นายเรือเห็นว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดจึงได้ให้แต่งงานกับนางสีไวลูกสาวคนเล็กของตน
สวนเจ้าเมืองจำปานั้นปกครองบ้านเมืองไม่เป็นธรรมเกิดความเดือดร้อนทุกแห่งหน พระองค์เกณฑ์ไพร่พลให้มาเฝ้ารักษาคืนละห้าร้อยคน ทุกคนที่มาเฝ้าถูกเจ้าเมืองฆ่าตายทั้งหมด ต่อมาก็เป็นวันที่เสียวสวาสดิ์ไปเฝ้ารักษาเมืองก็ไม่นอนทั้งคืนนั่งภาวนาคาถาอยู่จนสว่างวันนั้นไม่มีใครถูกฆ่า ทำความแปลใจแก่พระราชาจึงแต่งตั้งให้เสียวสวาสดิ์เป็นอัครเสนาบดี มีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเสนาอำมาตย์และไพร่ฟ้าฆ่าแผ่นดินชาวเมืองจำปา ตลอดถึงเจ้าเมืองด้วยให้พากันตั้งอยู่ในศีลธรรม ด้วยอุปนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเสียวสวาสดิ์จึงทำให้เป็นที่โปรดปรานของเจ้าเมืองจำปายิ่งนัก เหตุการณ์บ้านเมืองทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียวสวาสดิ์ทั้งสิ้น ทุกข์เข็ญต่างๆก็ไม่มีเมืองจำปาก็เจริญรุ่งเรืองและสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองทั้งนี้เกิดจากเจ้าเมืองเป็นคนมีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยสุจริตยุติธรรม ทำให้ประชาชนมีความขยันหมั่นเพียร เคารพในจารีตประเพณีและกฎหมายบ้านเมือง
ฉบับเดิมเป็นหนังสือใบลานจารึกด้วยอักษรตัวธรรม เป็นอักษรประเภทร้อยแก้วมี ๒๐ ผูก เป็นของวัดมหาวนาราม อ.เมือง จ. อุบลราชธานี ในปี ๒๕๑๐ ดร.ปรีชา พิณทองและขุนพรมประศาสน์รวมกันปริวรรคจากตัวธรรมมาแต่งเป็นคำกลอนอีสาน ไม่ปรากฏว่าผู้แต่งตั้งแต่ต้น สันนิษฐานว่าศรีเฉลียวน่าจะชื่อว่าเฉลียว เสียวสวาสดิ์น่าจะชื่อว่าฉลาด เพราะเสียวสวาสดิ์เป็นคนเฉียบแหลมมีสติปัญญาและไหวพริบดี ถึงกับได้รักตำแหน่งสูงเป็นอัครมหาเสนาเป็นรองและเป็นที่ปรึษาของเจ้าเมืองจำปา การดำเนินเรื่องในหนังสือเสียวสวาสดิ์ เป็นสารคดีพิเศษ ประเภทคำสอนสาธกยกนิทานมาประกอบทั้งทางโลกและทางธรรม มีเหตุมีผลอ่านง่ายฟังง่าย มีร้อยกว่าเรื่อง เหมาะสมกับกาลเทศะ ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมชมชอบของชาวอีสาน
ผู้แต่งนั้นน่าจะเป็นพระภิกษุเพราะได้นำเอาชาดกหลายๆเรื่องตลอดถึงธรรมบทหลายแห่งนำเข้ามาใส่ไว้ในเรื่องนี้ด้วย ให้ตัวละครคือเสียวสวาสดิ์เป็นคนสั่งสอนเจ้าเมืองและประชาชนด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีทั้งที่เป็นปริศนาธรรมต่างๆที่นักปราชญ์ชาวอีสานได้เอาสุภาษิต ผญาภาษิต เข้ามาผสมไว้ด้วยอย่างมากหมาย เพื่อให้ตัวละครเป็นผู้ถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง ให้เห็นความยุติธรรมอยุติธรรมต่างๆ ตลอดถึงความดีความชั่ว ที่ตัวละครนำมาสั่งสอนเจ้าเมืองและประชาชนนั้น เป็นหลักธรรมของพุทธศาสนาทั้งสิ้น กวีผู้ประพันธัมักจะนำคำปริศนาต่างมาครอบหลักการเอาไว้เพื่อให้สมกับวรรณกรรมในเชิงปัญญาอย่างแท้จริง เพราะต้องการให้คนฟังขบคิดตีปรัชญาด้วยตนเองบ้างดังจะนำมาเสนอไว้พอเป็นสังเขป ตามประเด็นดังนี้ คือ
๑.๑) พ่อสั่งสอนเสียวสวาสดิ์ ดังนี้คือ70
๑.๑) สตรีฮ้างสามผัวอย่าสมเสพ ชายใดสิกสามเหล่าแล้วอย่ากลั้วเกี่ยวสหาย
๑.๒) จงให้ฟันเฮือไว้หลายลำแฮท่า จงให้หม่าข้าวไว้หลายมื้อแขกสิโฮมว่าดาย
๑.๓) จงให้เอาแข้วนองาฮักษาเขตเฮือนนั้นบาดห่าเกิดเหตุฮ้ายยังสิได้เพิ่งพา
๑.๔) คันมีคนมาต้านคำไขสำส่ออย่าสิฟ้าวเซื่อแท้คำเว้าแห่งเขา จงให้เอามโนน้อมคลำหาเหตุ คันหากฮู้เลศเลี้วแล้วอย่าไข ความระหัสไว้ในใจสงัดอยู่ อย่าให้ฮู้ฮอดเบื้องหูพุ้นเพื่อนสองลูกเอย
ความหมายคือ
๑.๑) ได้แก่คนเหล่านี้คือ เป็นคนกลับกลอกเจ้ามายาไว้ใจไม่ได้ท่านจึงห้าคบ ถ้าเป็นสตรีก็ไม่อิ่มในกาม สิ่งไม่รู้จักอิ่มคือ เมถุนธรรม การนอน การกิน ไฟไม่อิ่มในเชื่อเพลิงฉันใดสตรีย่อมไม่อิ่มในบุรุษ ดังนั้นท่านจึงไม่ไว้วางใจสตรีที่อย่าร้างมาสามครั้ง ส่วนผู้ชายที่บวชแล้วสึกนั้นเป็นคนไม่หมั่นคงในจิตใจจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
๑.๒) ท่านสอนให้เป็นคนอบอ้อมอารีย์เอื้อเฟื้อเผื้อแผ่แก่ญาติมิตรทั่วไป
๑.๓) ให้เลี้ยงหมู่หมาแมวเพราะเวลาค่ำคืนจะได้เห่าไว้ป้องกันโจรขโมยได้
๑.๔) ไม่ให้เชื่อคนง่ายๆต้องพิจารณาด้วยเหตุผลเสียก่อนและห้ามไม่ให้เปิดเผยความลับให้ผู้อื่นฟัง และสิ่งควรพูดจึงพูด ไม่ควรพูดก็อย่าพูด
๑.๒) เสียวสวาสดิ์ถามนายสำเภาว่าดังนี้คือ
๑) หาดเฮากลายมานี้มีหินหรือบ่
(หมายถึงแก้วมณีทั้งหลายเช่นวิเชียร แก้วมุกดา)
๒) บ้านหม่อใกล้มีคนเฝ้าอยู่แฝงบ่เด
(บ้านเมืองนี้มีคนรู้จารีตประเพณีและหมอยาและหมอดูทั้งมวลไหม)
๓) ดงดอนนั้น มีต้นไม้ในป่าดกหนานั้นบ่ หรือบ่มีพฤกษาเปล่าแปนเป็นฮ้าง
(บ้านเมืองนี้มีป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์ไหม)
๔) ในเมือนั้นมีกษัตริย์สร้างปกครองตุ้มไพร่นั้นบ่ หรือมีแต่เมืองใหญ่กว้างบ่มีเจ้านั่งปอง(หมายเอามีพระมหากษัตริย์ที่ปกครองด้วยทศพิธราชธรรมมีไหมหรือว่ามีแต่ผู้ไร้ศีลธรรมปกครองบ้านเมือง)
๕) ในหนห้องธานีเมืองใหญ่ วัดที่ก่อสร้างไว้มีพระเจ้าอยู่ในบ่
(หมายเอาในบ้านเมืองนั้นมีพระสถูปเจดีย์ของพระพุทธเจ้าไหมหรือมีมหาเถรผู้ทรงศีลอยู่ไหมและไม้ศรีมหาโพธิ์มีไหม)
๖) ในเมืองนั้นฝูงคนเฒ่าสามขายังมีบ่ หรือหากมีแต่เฒ่าขี้แฮ้งเต็มบ้านทั่วเมือง
(หมายถึงมีคนแก่ถือไม้เท้าเข้าวัดฟังธรรมไหมหรือว่ามีแต่คนเฒ่าที่เข้าบ่อนการพนันหรือมีแต่คนเฒ่ากินเหล้าเมายา
๑.๓) เจ้าเมืองถามเสียวสวาสดิ์ว่าสมบัติคูณเมืองมีอะไรบ้าง
๑) หลักเมือง ได้แก่พระรัตนตรัยแก้ว ๓ ประการเป็นที่พึ่ง
๒) แก่นเมือง ได้แก่พระยาเมืองเจ้าและหมอยา
๓) ใจเมือง ได้แก่กุมาร กุมารี
๔) เกณฑ์เมือง ได้แก่หมอโหร
๕) ฝาเมือง ได้แก่ขุนด่านรักษาเมือง
๖) ตาเมือง ได้แก่ฆ้องกลองและคนเฝ้าประตูทั้งสี่
๗) หูเมือง ได้แก่ประตูเมือง
๘) แข่งเมือง ได้แก่ธนูหน้าไม้ปืนไฟหอกดาบ
๙) ขวัญเมือง ได้แก่ดาวพิดานเมือง(ดาวเมือง)
๑๐) มอดเมือง ได้แก่โจรผู้ร้าย
๑๑) ยอดเมือง ได้แก่พระราชา
๑๒)คูณเมือง ได้แก่แผ่นดินที่ชาวประชาอยู่อาศัยหรือหาดทรายหินทั้งหลาย
๑๓) คำเมือง ได้แก่ช้างม้าวัวควายทั้งหลาย
๑.๔) คนพวกหนึ่งเห็นดงเป็นบ้าน เห็นเมืองเป็นป่าเห็นท่าน้ำเป็นด้าวด่านเสือคืออะไร
คนที่เห็นป่าไม้เป็นเหมือนบ้านนั้นได้แก่นักบวชผู้ชอบบำเพ็ญธรรมกัมมัฏฐาน ผู้เห็นเมืองเป็นป่านั้นคือ ตามบ้านเมืองย่อมครึกโครมไปด้วยเสียงคนและสัตว์หาความสงัดไม่ได้ส่วนผู้เห็นท่าน้ำเหมือนทางเสือนั้นคือ คนที่มาในระหว่างท่าน้ำย่อมต้องการน้ำจะมีทั้งหญิงและชายมาในที่นั้นย่อมเหมาะสมสำหรับการสังวรอินทรีย์เพราะรูปของสตรีเป็นมลทินของพรหมจรรย์ เป็นต้น
๑.๕) คติธรรมสอนใจ71
ชาติที่เป็นใหญ่เจ้า อย่าเบียดคนทุกข์ เจ้าเฮย
ให้ค่อย กุณาฝูง ไพร่เมืองคนไฮ้
เห็นว่า เป็นใหญ่แล้ว ใจผอกอธรรม
ไผบ่ พ่นเพียงตัว เมื่อมีกำลังกล้า
เป็นเจ้า ให้ฮักไพร่ทั้งหลาย
เป็นนายคน ให้ฮักสหายและหมู่
เป็นกวน ให้อักลูกบ้าน
คันซิต้าน ให้ค่อยเพียรจา
๑.๕.๑) คำสอนที่เป็นปริศนาธรรมของเสียวสวาสดิ์
นกอีเอี้ยง กินหมากโพธิไฮ
แซวแซวเสียง บ่มีตัวฮ้อง
แซวแซวฮ้อง ตัวเดียวหมดหมู่
(หมายถึงหมู่ประชาชนจำนวนมากมายแต่หาคนที่ดีไม่ได้ ส่วนวรรคที่สามนั้นหมายถึงคนเดียวทำดีอยู่ผู้เดียวแต่คนจำนวนมากไม่ทำความดีหรืออาจทำความชั่วไปหมดทุกคน) และสอนไว้ว่า ถ้าทำตนให้แปลกออกไปจากสังคม ก็ย่อมจะถูกคนส่วนใหญ่ตำหนิก็ได้หรือกล่าวในเชิงอุปมาอุปไมยเพื่อให้เกิดความคิดที่รอบครอบเช่น
สิบชิ้น บ่หอนท่อโตปลา
สิบลุงอาว์ บ่ปานพ่อแลแม่
สิบเฒ่าแก่ บ่ปานผัวและเมีย
เก้าเมียสิบเมีย บ่ห่อนท่อพี่และน้อง
เก้าห้องสิบห้อง บ่ท่อโคตรเชื้อวงวาน
เก้าทานสิบทาน บ่ท่อทานให้สังฆะเจ้า
สิบปากเว้า บ่ท่อตาเห็น
สิบตาเห็น บ่ท่อมือคลำ
เก้ากำสิบกำ บ่ท่อกำแก้ว
สุดยอดแล้ว คือพ่อแม่ครูอาจารย์
๑.๕.๒) สอนเรื่องบาป-บุญ นรก-สวรรค์ นับว่าเป็นความเชื่อที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวอีสานมากที่สุด และดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเด่นของวรรณกรรมเรื่องนี้ ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าใครทำกรรมอย่างไรก็จะได้รับผลกรรมอย่างนั้น เช่น
บ่มีใผหนีได้ เวรังหากเทียมอยู่
เวรมาฮอดแล้ว ซิไปเว้นที่ใด
บ่มีใผเถียงได้ เวรังหากเป็นใหญ่
เวรตายวายเกิดขึ้น หนีเว้นหลีกบ่เป็น
มันก็ ตายไปตกอเวจี อยู่นานในหม้อ
นาฮกไหม้ ทั้งคิงจมอยู่
ทนทุกข์ฮ้อน แถมซ้ำเวทนา
เจ้าก็ ฮักษาศีลไว้ ผองซีวังเท้าชั่ว
คันว่า บรมิ่งเมี้ยน เมือฟ้าสู่สวรรค์
๑.๖ สอนให้เคารพพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังคำกลอนดังนี้คือ
อันหนึ่งคำผู้เฒ่า เว้าแต่โบราณ
เชือกสามวาล่ามช้าง อ้างโอดว่าโตดี
ท่านหาอุปมาแก้ว สามประการคือเชือก
ช้างเปรียบได้ โดยด้ามดั่งชี
คือว่าสมณาสเจ้า ฮักษาฮีตครองสงฆ์
ทรงสิกขา หมั่นเพียรระวังล้อม
บ่ได้สำหาวกล้า วาจาอวดอ่ง
คันว่าหลงเม่ามั่ว เสียเป้เมื่อลุน
ปุนดั่งสัตว์สิ่งเชื้อ ชื่อว่าจินาย
จาความหาญ ซิรบเล็วชนช้าง
บาดห่ากุญชโรได้ ยอยังตีนเหยียม
มันก็มรณ์มิ่งเมี้ยน มีได้ยียยาม72
๑.๗) สั่งสอนให้เมาในยศศักดิ์
เมื่อได้เป็นผู้ใหญ่มีบริวารห้อมล้อมสมบูรณ์ด้วยข้าวของเงินทอง อย่างได้พูดจาโอหัง ให้รู้จักผ่อนหนักเป็นเบา และให้รู้จักแบ่งปันความสิ่งของให้แก่ลูกน้องและบริวารอื่นๆด้วย เวลาเกิดภัยอันตรายมาบริวารจักได้ช่วยกันป้องภัยให้ ดังคำกลอนว่า
คันว่าเฮาหากได้ ทรงอาจเป็นขุน
มวลทาสา แห่แหนหลังหน้า
อย่าได้วาจาเว้า ยอโตโอ้อ่ง
พลไพร่พร้อม เมืองบ้านจึ่งบาน
ยามเมื่อเฮาหากได้ ผ้าผ่อนแพรพรรณ
โภชนังมี พร่ำมวลเงินใช้
จ่งได้ปุนปันให้ ทาสาน้องพี่
แลเหล่ามิตรพวกพ้อง สหาแก้วแก่นเกลอ
ยามเมื่อต้อง ภัยเภทอันตราย
ทั้งมวลจัก ช่วยปองปุนป้อง
เทียมดั่งเฮือนเฮาสร้าง หลังสูงกว้างใหญ่
ยังเอาเสาแก่นไม้ มาล้อมแวดวัง72
๑.๘) สั่งสอนให้รู้จักการช่วยเหลือกัน
การพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าชายหรือหญิง ไพร่ผู้ดีมีหรือจนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน คนมีก็ช่วยเหลือคนจนด้วยการแบ่งปัน ผู้ใหญ่ก็ช่วยเหลือเด็กด้วยการคุ้มครองป้องกัน ท่านอุปมาไว้เหมือนดังน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ดังคำกลอนดังนี้คือ
มวงพี่น้อง ต้องเพิ่งพากัน
คราวเป็นตาย ช่วยกันปองป้าน
ยามมีให้ ปุนปันแจกแบ่ง
คราวทุกข์ใฮ้ ปุนป้องช่วยปอง
เทียมดังดงป่าไม้ ได้เพิ่งยังเสือ
คนบ่ไปฟังตัด คอบเสือเขาย้าน
เสือก็อาศัยไม้ ในดงคอนป่า
ฝูงหมู่คนบ่ฆ่า เสือได้คอบดง73
๑.๙) สั่งสอนให้มองเห็นโทษภัยของการพนัน
ใผผู้มัวเมาเล่น เบี้ยโบกเบอร์หวย
ฮุกสะกากับ คว่างคีตีฆ้อน
สุราเหล้า ญิงเกกางกาด
หมกมอกมั้ว เฮือนย้าวบ่ลำเพอ
แม้นจักมีคู่ซ้อน ผัวมิ่งเมียแพง
บุตราตน ฮักหอมทอมเลี้ยง
ก็เล่าไลวางเว้น ปะไปดายเปล่า
ลางผู้เททอดให้ ขายได้ลูกเมีย
แม้นว่าเป็นเจ้าช้าง ม้ามิ่งวัวควาย
เงินคำของ โกฏิกือแสนตื้อ
ครันว่าการพนันเข้า สิงใจจงจอด
ลอนท่อมุดมอดเมี้ยน จิบหายแท้เที่ยงจริงฯ
๑.๑๐) สั่งสอนให้รู้จักทำงานอย่ารอคอยโชควาสนา
ความมั่งมีหรือยากจนนั้น ความรวยหรือจนนั้นเป็นของกลางๆไม่เป็นของใครโดยตรงอยู่ที่ว่าใครจะนำเอาโอกาสนั้นๆมาเป็นประโยชน์ให้แก่ตนเอง ดังคำกลอนดังนี้คือ
อันหนึ่งครั้นอยู่บ้าน หรือถิ่นแดนใด
ครั้นเฮาทำความดี โชคชัยมีหั้น
ครั้นเฮาหนีจากบ้าน ไปเนาในอื่น
ครั้นเฮาฮีบก่อสร้าง ชัยนั้นแล่นเถิง
ส่วนว่าคนขี้คร้าน แม้นอยู่ในใด
เถิงจักนอนกองเงิน ช่างตามคำแล้ว
มื้อหนึ่งเขาจักต้อง หากินดอมไก่
แลเล่านอนสาดเหี้ยน เม็นน้อยไต่ตอม
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น