๓.๑.๑ รูปแบบของคำผญาอีสาน
ลักษณะของคำผญามองในด้านภาษาศาสตร์จะพบว่า ผญามีรากศัพท์มาจาก “ปัญญา”ในภาษาบาลี ในภาษาสันสกฤตใช้ว่า “ปรัชญา” แต่เมื่อพูดในภาษาท้องถิ่นจะเพี้ยนมาเป็นคำ “ปร” เป็น “ผ”ซึ่งมีหลายคำเช่น เปรต ชาวอีสานออกเสียงเป็น เผด โปรดออกเสียงเป็นโผด ดังนั้นคำผญาภาษิตอีสานจึงเป็นกลุ่มคำที่มีลักษณะดังนี้คือ
๑) มีลักษณะคล้องจ้องกันในด้านสัมผัส ฟังแล้วรื่นหูมีทั้งที่เป็นกาพย์ หรือกลอน
๒) มีความหมายที่ลึกซึ่งผู้ฟังหรือผู้อ่านต้องใช้ปัญญาหยั่งรู้จึงจะเข้าใจในความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในข้อความหรือกลุ่มคำนั้นๆ
๓) เป็นหมู่คำที่แสดงออกในเชิงการมีไหวพริบปฏิภาณของผู้พูด
๔) เป็นหมู่คำที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและใช้เป็นปรัชญาในการดำเนิดชีวิตได้
ลักษณะของคำประพันธ์อีสานนั้นมี ๔ ประการ1 ซึ่งแต่ละลักษณะจะแตกต่างกันไม่เด่นชัดนัก ได้แก่ กาบ (กาพย์) โคง(โคลง) ฮ่าย (ร่าย) และกอน(กลอน) บทร้อยกรองที่เป็นที่นิยมของชาวอีสานนั้นมีอยู่ ๓ ชนิด5 คือ
๑) ชนิดที่ไม่มีสัมผัส แต่อาศัยจังหวะของเสียงสูงต่ำของวรรณยุกต์และจังหวะของคำเป็นเกณฑ์ คำผญาเหล่านี้ก็คือโคลงดั้น หรือกลอนอ่านวิชชุมาลีนั่นเอง ดังตัวอย่างนี้คือ
(ครันเจ้า) ได้ขี่ช้าง กั้งฮ่มเป็นพญา
(อย่าสู้) ลืมความหลัง ขี่ควายคอนกล้า ๒ บาทแรก
ไม้ล้อมรั้ว ลำเดียวบ่ข่วย
ไพร่บ่พร้อม แปลงบ้านบ่เฮือง ๒ บาทหลัง
บทผญาของภาคอีสานมีลักษณะที่ตัดมาจากโคลงดั้นวิชชุมาลี โดยตัดมาเพียงบาทเดียวหรือ ๒ บาท และ ๓ บาท ก็ได้ ที่นิยมก็คือมักตัดมาใช้ ๒ บาทหลังของโคลงคือบาทที่ ๓ และ ๔ เป็นส่วนมาก ลักษณะอย่างนี้ทำให้สามารถที่จะเพิ่มคำแทรกลงภายหลังในวรรคได้ซึ่งมักเป็นคำเดี่ยวมีเสียงเบาและสามารถมีคำสร้อยอยู่ท้ายวรรคได้อีก ๒ คำ ดังนั้นบทผญาก็ดี หรือรูปแบบของโคลงในวรรคกรรมลายลักษณ์ก็ดี ในยุคแรกนั้นไม่มีสัมผัสเลย แต่มาในยุคหลังก็ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้น โดยได้รับอิทธิพลมาจากร่ายและโคลงนั้นเอง
๒) ชนิดที่มีสัมผัสแบบร่าย คือใช้สัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องรับกันไปเหมือนลักษณะของร่ายเกิดเป็นโคลงดั้นที่มีสัมผัสอย่างร่าย ดังตัวอย่างนี้
“ ครันเจ้า คึดฮอดอ้าย ให้เหลียวเบิ่งเดือนดาว
สายตาเฮา จวบกันเทิงฟ้า
จะเห็นว่ามีสัมผัสรับกันแห่งเดียวคือตรงคำว่า “ดาว” กับ “เฮา” ลักษณะการรับสัมผัสแบบร่ายนี้ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้นในยุคหลัง ซึ่งจะเห็นได้จากลักษณะของกลอนลำต่างๆ
๓) ชนิดที่มีสัมผัสแบบโคลง โคลงดั้นวิชชุมาลีของอีสานแบบเก่าไม่มีสัมผัส ต่อมาก็ได้พัฒนาโดยวางสัมผัสแบบโคลงอย่างของภาคกลาง มีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงดั้นบาทกุญชรและโคลงดั้นวิวิธมาลี และมีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงสุภาพ ซึ่งในตำราล้านช้างเรียกว่า “มหาสินธุมาลี” ไม่ค่อยได้รับนิยมเท่าไหร่ บทร้อยกรองในภาคอีสานได้พัฒนามาจากรูปแบบที่ยึดถือเรื่องจังหวะคำและระดับเสียงสูงต่ำเป็นเกณฑ์ โดยไม่มีสัมผัสเลยไปสู่รูปแบบที่มีสัมผัสเพิ่มมากขึ้นในยุคหลัง ด้วยเหตุนี้ โคลงห้า ผญา โคลงดั้นวิชชุมาลี (หมายรวมถึง โคลงสาร, กลอนอ่านวิชชุมาลี, กลอนอักษรสังวาส,กลอนเทศน์) และกลอนลำของอีสานจึงล้วนมีพัฒนาการร่วมเส้นทางเดียวกันมา ในขณะที่พัฒนาการอีกเส้นทางหนึ่งคือ คำประพันธ์ของอีสานที่เรียกว่า กาพย์และฮ่าย(ร่าย) ซึ่งมุ่งเรื่องสัมผัสเป็นเกณฑ์ ก็ได้มามีอิทธิพลผสมผสานกันนี้คือพื้นฐานของบทร้อยกรองที่ปรากฏในผญาของภาคอีสาน ลักษณะทั่วไปของผญาอีสานยังแบ่งออกได้อีก ๒ ประการคือ
๑) จัดแบ่งตามแบบฉันท์ลักษณ์ของบทผญา
๒) จัดแบ่งตามลักษณะเนื้อหาของบทผญา
๑) จัดแบ่งตามรูปแบบทางฉันทลักษณ์ของผญา ยังแบ่งย่อยออกมาได้อีก ๒ ประการคือ
๑.๑.) บทผญาที่มีสัมผัส การใช้ถ้อยคำให้เกิดความคล้องจองกันเป็นลักษณะประจำที่มีสอดแทรกในชีวิตประจำวันของชาวอีสาน หรือ ถือเป็นความนิยมในการพูด คำผญาประเภทนี้มักมีอยู่ในรูปของร้อยกรอง มีสัมผัสระหว่างวรรคติดต่อกันโดยตลอด และมีสัมผัสภายในวรรค สัมผัสในบทผญาอีสานยังแบ่งออกเป็นสัมผัสสระและสัมผัสอักษรดังนี้คือ
๑.๑.๑) สัมผัสสระ คือคำที่ผสมด้วยเสียงสระเดียวกันและเสียงตัวสะกดเดียวกัน การสังสัมผัสจะส่งระหว่างวรรคต่อเนื่องกันในผญาบางบทจะส่งสัมผัสภายในวรรคก็มี เช่น “มีเฮือนบ่มีฝา มีนาบ่มีฮ่อง มีปล่องบ่มีฝาอัด
มีวัดบ่มีพระสงฆ์ มีถ่งบ่มีบ่อนห้อย ของแนวนี้กะบ่ดี
( มีบ้านไม่ฝา มีนาไม่มีร่องน้ำ มีปล่องไม่มีฝาปิด มีวัดไม่มีพระสงฆ์ มีถุงไม่มีที่ห้อย ของเหล่านี้ก็ไม่ดี)
“ตกหมู่ขุนซ่อยขุนเกื่อม้า ตกหมู่ข้าซ่อยข้าพายโซน ตกหมู่โจร ซ่อยโจรหามไหเหล้า”
(ตกไปอยู่ในพวกขุนนางต้องช่วยเขาเลี้ยงม้า ตกไปอยู่กับพวกข้าต้องช่วยข้าสะพายสิ่งของตกไปอยู่ในพวกโจรต้องช่วยโจรหามไหเหล้า)
จากผญาที่ยกมานี้ จะสังเกตเห็นว่า คำสุดท้ายของแต่ละวรรคจะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อๆไปอย่างต่อเนื่อง
๑.๑.๒.) สัมผัสอักษร คือคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน คำที่มีสัมผัสอักษรเป็นที่นิยมมากในบทผญาอีสาน สัมผัสอักษรส่วนมากจะสัมผัสภายในวรรค และจะมีสัมผัสระหว่างวรรคบ้างเล็กน้อย เช่น
“ โมโหนี้พาโตตกต่ำ ให้ค่อยคึดค่อยต้านยังสิได้ต่อนคำ”
(ความโกรธนี้พาตัวเองให้ตกต่ำ(มีคุณค่าน้อยลง) ควรคิดให้รอบคอย จึงจะมีประโยชน์)
“ เชื้อชาติแฮ้งบ่ห่อนเซิ่นนำแหลว แหนวนามหงส์บ่อห่อนเซิ่นนำฝูงฮุ้ง”
(เชื้อชาติแร้งไม่ควรบินไปกับเหยี่ยว เชื้อชาติหงส์ไม่ควรบินไปกับฝูงนกอินทรีย์)
“ ชื่อว่าสงสารซ้ง กงเกวียนกลมฮอบ
เวรหากมาคอบแล้ว วอนไหว้กะบ่ฟัง”
(ชื่อว่าสังสารวัฏนั้นกลมเหมือนล้อเกวียน เมื่อผลกรรมมาถึงแล้ว ถึงแม้จะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้)
๑.๒.) ผญาที่ไร้สัมผัส หมายถึงบทผญาที่ไม่ได้ส่งสัมผัสต่อเนื่องกันไป ผญาชนิดนี้มีเสียงสูงต่ำของเสียงวรรยุกต์และจังหวะของถ้อยคำเป็นสิ่งที่ช่วยให้มีเสียงไพเราะ เช่น
“ อย่าได้หวังสุขย้อน บุญเขามาเพิ่ง
สุขกะสุขเพิ่นพุ้น บ่มากุ้มฮอดเฮา”
(อย่าได้คิดหวังถึงความสุขจากคนอื่น สุขก็สุขของเขาไม่มาถึงเรา)
“สัจจาแม่หญิงนี้ คือหินหนักหมื่น ถิ้มใส่น้ำ จมปิ้งแม่นบ่ฟู
( สัจจะของผู้หญิงนี้หนักแน่นเหมือนก้อนหิน ทิ้งลงน้ำจมสู่พื้นไม่โผล่ขึ้นมา)
“ของกินให้ ซมดูดมดูด มันหาก เป็นโทษแล้ว วางถิ้มอย่ากิน”
(ของกินให้พิจารณาดู ดม ดูด หากเป็นโทษแล้ว จงวางทิ้งอย่ากิน)
bandonradio
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น