วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

27. ผญาอีสานได้อิทธิจากหลักคำสอนในพุทธศาสนาดังนี้

สรุปอิทธิพลของหลักคำสอนมีต่อคำสอนอีสาน
๕.๑.๑ หลักบาปกรรม
    พระพุทธศานามีจุดมุ่งหมายสั่งสอนให้คนกระทำความดีเว้นการกระทำความชั่วและชำละจิตใจให้สะอาดผ่องใส่  ผู้ใดประกอบแต่ความดี  กรรมดีย่อมตอบสนอง  และในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่าบุคคลใดกระทำแต่กรรมชั่ว  กรรมชั่วย่อมตอบสนองเช่นเดียวกัน  ผู้ใดกระทำกรรมอย่างใดไว้ผลกรรมย่อมส่องผลให้ได้รับความทุกข์  กรรมเป็นส่วนหนึ่งแห่งกระบวนการของวัฏฏะ  คือ  กิเลส  กรรม  วิบาก  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรรมที่มีผลเริ่มจากมีกิเลสที่เป็นต้นเหตุให้สร้างกรรม  จนถึงวิบากอันเป็นผลที่จะได้รับผลของกรรม  ดังพระพุทธภาษิตว่า  “บุคคลหว่านพืชเช่นใด  ย่อมได้รับผลเช่นนั้น  ผู้ทำกรรมดี  ย่อมได้รับผลดี  ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว”๑  ไม่มีใครหลีกหนีผลกรรมนั้นพ้นไปได้  หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเข้าไปสอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของสุภาษิตอีสาน  เพื่อมุ่งสอนให้คนเลิกกระทำกรรมชั่ว  เพราะความชั่วนั้น  “บุคคลทำแล้วย่อมเดือดร้อนในภายหลัง    เป็นผู้มีหน้าอันชุ่มด้วยน้ำตา  ร้องให้  เสวยผลของกรรมอันใดอยู่  กรรมอันนั้นอันบุคคลทำแล้วไม่ดี  นั้นคือกรรมชั่ว”๒  คำสอนของชาวอีสานก็มุ่งเน้นให้คนได้ระมัดระวังในการกระทำกรรมเช่นเดียวกัน  เพราะถ้าบาปกรรมมาถึงแล้วย่อมไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้กรรมนั้นส่งผลได้  ดังสุภาษิตว่า
    บ่มีใผหนีได้เวรังหากเทียมอยู่    เวรมาฮอดแล้วซิไปเว้นได้ทีใด
บ่มีใผเถียงใด้เวรังหากเป็นใหญ่    เวรตายวายเกิดขึ้นหนี้เว้นหลีกบ่เป็น๓

พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจเรื่องกรรมว่า  “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง  เป็นทายาทแห่งกรรมขนตนเอง  มีกรรมเป็นแดนเกิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์  มีกรรมเป็นที่พึ่ง  กรรมใดก็ตามที่ทำลงไปดีหรือชั่ว  เขาย่อมจะเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น๔  อิทธิพลของพระพุทธศาสนสุภาษิตเช่นนี้ได้ปรากฏอยู่ในหลักคำสอนอีสานเช่นกันคือสุภาษิตคำสอนอีสานนั้นสอนให้รู้ว่าบุญหรือบาปกรรมนั้นส่งผลทุกย้างก้าวเปรียบเสมือนเงาที่ติดตามตัวของบุคคลไปทุกย้างก้าวจะนั่งหรือนอนกรรมนั้นย่อมติดตามให้ผลเสมอ    ดังคำสอนว่า
    บุญบาปนี้เป็นคู่คือเงาฮั่นแล้ว        เงาหากไปนำเฮาคู่วันบ่อมีเว้น
    คันว่าเฮาพาเล่นพามันเต้นแหล่น        พามันแอะแอ่นฟ้อนเงาซ้ำกะแอ่นนำ
    คันเฮานั่งหย่องย่อเงานั้นก็นั่งลงนำ    ยามเฮาเอนหลังนอนกะอ่อนลงนอนนำ
    คันเฮาโตนลงห้วยภูซันหลายหลั่น    หรือว่าขึ้นต้นไม้ผาล้านดั่นเขา
    เงากะติดตามเกี้ยวแกะเกี่ยวพันธะนัง    บ่อห่อนมียามเหินห่างไกลกันได้
    อันนี้ฉันใดแท้ทั้งสองบุญบาป        มันหากติดตามก้นนำผู้ทำกรรมนั้น๕
สุภาษิตอีสานหลายๆเรื่องที่แสดงถึงสาระของหลักคำสอนแทรกอยู่ในบทประพันธ์เพราะกวีผู้แต่งสุภาษิตอีสานได้ถ่ายทอดเอาสภาพแวดล้อมในสังคมที่ตนดำรงชีวิตอยู่  รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมตลอดถึงคติธรรมที่ยอมรับปฏิบัติกันในสังคม  ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของชนชาวไทยอีสานทั่วไป  ด้วยเหตุนี้เองสุภาษิตอีสานจึงมีลักษณะของคำสอนที่มีการแฝงเอาธรรมะในพระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในสุภาษิตอีสาน “ ซาติที่สงสารซ้งกงเกวียนกลมฮอบ  บาดเถื่อเวรมาฮอดเจ้าสิวอนไหว้ใส่ผู้ใด”(26/ภาษิต) เป็นคำสอนที่มุ่งสอนให้เข้าใจในเรื่องของกรรมนั้นส่องผลในลักษณะเป็นวัฏฏะ  คือสามารถส่งผลไปสู่อนาคตได้ด้วยดังมีพระพุทธภาษิตว่า   
    “ ธัญชาติ  ทรัพย์สิน  เงินทอง หรือสิ่งของที่ห่วงแหนอย่างใดอย่าง
    หนึ่งที่มีอยู่  ทาสกรรมกร  คนงาน  คนอาศัย  พึงพาเอาไปไม่ได้ทั้ง
    สิ้นจะต้องถูกทิ้งไว้ทั้งหมด… แต่บุคคลทำกรรมใด  ด้วยกาย  ด้วย
วาจา  หรือด้วยใจ  กรรมนั้นแหละเป็นของเข้า  และเขาย่อมพาเอา
กรรมนั้นไป  อนึ่ง  กรรมนั้นย่อมติดตามเขาไปเหมือนเงาติดตามตน
ฉะนั้น… ฉะนั้น  บุคคลควรทำความดี  สั่งสมสิ่งที่จะเป็นประโยชน์
ภายหน้าความดีทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ในปรโลก สํ.ส. 15/392/134“
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมซึ่งแนวคำสอนเรื่องกรรมนี้เป็นลักษณะของกรรมชรูป  คือรูปที่เกิดมาจากกรรมส่งผลให้จะเป็นคนหรือสัตว์  ได้ร่างกายมาเป็นตัวตนเพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่งให้  ซึ่งมนุษย์แต่งเอาเองไม่ได้ถึงพ่อแม่จะมีส่วนในการแต่งก็ตามแต่ก็ไม่สามารถจัดการให้สวยงามไม่ได้  เปรียบเหมือนพ่อแม่เป็นเช่นเรือน  ถ้าผู้มาเกิดคือเจ้าของเรือน  สวยแล้วแต่เรือนเกิดไม่เป็นปัญหา  ดังนั้นพระพุทธศาสนจึงสอนให้ทำกรรมดี  เพื่อจะได้มีความสุข  และเมื่อตายไปแล้วหากมาเกิดอีกก็จะได้เกิดมาเป็นคนดี   ซึ่งบุญกรรมเป็นผู้ส่งผลข้ามภพข้ามชาติให้บุคคลทั้งหลายในโลกนี้เป็นไปตามอำนาจของกรรม  และกระบวนการให้ผลของกรรมที่ส่งผลต่อชีวิตมนุษย์  เพราะกรรมเป็นผู้จำแนกชีวิตมนุษย์นั้นให้มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกันตามอำนาจของกรรมเป็นผู้ส่งผลมาในชาติปัจจุบัน ดังพระพุทธภาษิต   “ถ้าท่านกลัวทุกข์  ก็อย่าทำกรรมชั่ว  ทั้งในที่ลับที่แจ้ง  ถ้าท่านจักทำหรือทำอยู่ซึ่งกรรมชั่ว  ถึงแม้จะเหาะหนีไป  ก็ย่อมไม่พ้นจากความทุกข์ได้เลย )ขุ อุ 25/115/150  และที่ปรากฏในจูฬกัมมวิภังคสูตร  มีพระพุทธดำรัสว่า 
“มนุษย์  ชายหรือหญิงที่มีอายุสั้น  เพราะกรรม  ที่มีอายุยืนยาวก็เพราะกรรม
ชายหรือหญิงที่มีผิวพรรณงดงามหรือขี้เหล่ก็เพราะกรรม  …ชายหรือหญิง
ที่มีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็เพราะกรรม  ..ชายหรือหญิงที่มีโภคะทรัพย์
สมบัติมากหรือโภคะน้อยก็เพราะกรรม  ..ชายหรือหญิงที่เกิดในตระ
กูลสูงหรือต่ำก็เพราะกรรมส่งผลมาให้  .. ชายหรือหญิงที่มีปัญญามากหรือ
มีปัญญาน้อยก็เพราะกรรม  (ม.อุ 14/579-597
คำสอนอีสานนั้นเน้นถึงหลักการที่มองเห็นเพียงความดีหรือความงามในปัจจุบันเป็นหลักเกณฑ์  ดังคำสุภาษิตที่ว่า  “ เป็นคนนี้ให้ทำเนียมคือนกเจ่า  บาดว่าบินขึ้นฟ้า  ขาวแจ้งดั่งนกยาง”(บุญเกิด/28) หมายความว่าเป็นคนให้รู้จักดำรงตนในทางที่สะอาดบริสุทธิ์  รู้จักดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย  ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย  ตามทัศนะของคำสอนอีสานนั้นมุ่งสอนให้รู้ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว  บุญบาปนั้นจะติดตามผู้ทำให้ได้รับความดีหรือความชั่ว  ซึ่งจะอำนวยความดีให้ในลักษณะของความเจริญก้าวหน้าในชีวิตปัจจุบันด้วยอำนาจของบุญเก่าดังสุภาษิตว่า
“บุญมีใดเป็นนายใช้เพิ่น    บุญบ่ให้เขาสิใช้ตั้งแต่เฮา
บุญมีแล้วแนวดีป้องใส่        บุญบ่ให้แนวขี้ฮ้ายแล่นโฮม
บุญมีได้เป็นนายให้เขาเพิ่ง    คันว่าบุญบ่พร้อมแสนซิดิ้นกะเปล่าดาย
คอนแต่บุญมาค้ำบ่ำทำการมันบ่แม่น    คอยแต่บุญส่งให้มันสิใดฮอมใด
คือดังเฮากินมีเข้าบ่เอากินมันบ่อิ่ม    มีลาบคับบ่เอาเข้าคุ้ยทางท้องบ่ห่อนเต็ม(ย่า)
กรรมตามความเข้าใจของชาวอีสานอีกอย่างหนึ่ง  คือเคราะห์กรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาจะพบซึ่งส่วนมากจะเป็นคำสอนให้รู้จักว่าถ้าชายหรือหญิงได้รับสิ่งที่ตนเองไม่อยากได้เท่าใดหนักมักจะโยนความผิดให้แก่กรรมเก่าของตัวเองสร้างมาไม่ดี  ดังสุภาษิตว่า
ผู้สาวได้ผัวเถ้ากรรมลาวสร้างแต่เก่า    ผู้บ่าวได้แม่ฮ้างกรรมสร้างตั้งแต่หลัง
กรรมแบ่งบั้นปั้นป่อนมาพบ        บารมีภายหลังจิ่งได้เวียนมาพ้อ( ดร.ปรีชา
กรรมอีกนัยหนึ่งซึ่งหมายถึงการหมดบุญที่ชาวบ้านเรียกว่าสิ้นบุญกรรมหมายถึงความตายหรือถึงแก่กรรม  เพราะว่าไม่มีใครต่อต้านกับอำนาจของพระยามัจจุราชได้ดังสุภาษิตว่า
“ ซื่อว่ากรรมมาเถิงแล้วจำใจจำจาก    บ่มีไผแก่ทื้นคืนได้โลกเฮา
ซื่อว่าความตายนี้แขวนคอทุกบาทย่าง    ไผกะแขวนอ้อนต้อนเสมอด้ามดั่งเดียว
อันว่าโลกีย์นี้บ่มีแนวตั้งเทียง        มีแต่ตายแต่ม้างทะลายล้มเกลื่อนหาย
อันว่าความยม้างไกลกันเจียระจาก    คันบ่ม้มโอฆะกว้างซิเที่ยวพ้ออยู่เลิง(ย่าปรีชา)
ทุกข์
การขยายกฏของกรรมได้แบ่งกุศลและอกุศลไว้อย่างชัดเจนว่ามนุษย์ที่ทำกุศลไว้เกิดมาก็มีบุญอุปถัมภ์  ส่วนผู้ที่ทำอกุศลไว้มักจะพบแต่ความยากไร้ลำบาก  ชีวิตมีแต่ความทุกข์เรื่องอย่างนี้พระพุทธศาสนามองว่ามนุษย์ทุกข์ชนชาติย่อมมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือความทุกข์อันมีประจำร่างกาย เรียกว่าทุกข์อริยสัจ  ได้แก่ความเกิด  ความแก่  ความตาย  ซึ่งมีประจำสังขารและปกิณกะทุกข์คือความทุกข์ที่จรมาในบ้างครั้งเท่านั้นคือ ความโศก  ความระทมทุกข์  ความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจ  ซึ่งมีแก่ภาวะจิตใจตลอดถึงร่างกายเป็นบางครั้งบางคราว  ความไม่สมหวังในสิ่งอันเป็นที่รัก  ความพลัดพรากจากสิ่งที่รับที่ชอบไปก็เป็นทุกข์  โดยสรุปแล้วว่าขันธ์  ๕ คือความทุกข์  ดังพระพุทธภาษิตว่า 
    “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ทุกข์อริยสัจนี้แล  คือความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์  ความตายก็เป็นทุกข์  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์
โทมนัส  อุปายาส  เป็นทุกข์  ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่
รักก็เป็นทุกข์  ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก  ก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้  แม้ข้อนั้นก็เป็นทุกข์  กล่าวโดยย่อ
อุปาทานขันธ์ ๕  เป็นทุกข์ ๖ 
นักปราชญ์อีสานมองชีวิตเฉพาะความทุกข์ที่เห็นกันอย่างใกล้ตัว กล่าวคือความทุกข์อันเกิดจากลูกเมียตายจากไปเป็นความทุกข์อันเกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก  ความทุกข์ที่เกิดจากการต้องเดินทางไกลไปต่างถิ่น  หรือความทุกข์ที่เกิดจากการอย่าร้างกันของสามีภรรยา  ความทุกข์เกิดจากต้องไปค้าขายหมู  ความทุกข์ที่เกิดจากพ่อแม่ตายจากไปสุดที่จะคิดถึง คือทำสิ่งใดที่เกิดความลำบากขึ้นมานั้น  กลับมองเห็นว่าเป็นความทุกข์ของชีวิตซึ่งมองไม่รู้ถึงนั้นคือความทุกข์ชนิดต่างๆแต่พระพุทธศาสนาสอนว่าอวิชชาอันเป็นสาเหตุให้ชีวิตเป็นทุกข์  ความทุกข์ในแนวทางคำสอนอีสานนั้นนักปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่ามี  ๑๒  อย่างดังนี้คือ
“  ทุกข์หนึ่งลูกตายเสีย            ทุกข์สองเมียตายจาก
ทุกข์สามพรากพี่น้องหนีไปไกล        ทุกข์สี่ลงไปไทยค้าต่าง
ทุกข์ห้าผัวเมียฮ้างป๋ากัน            ทุกข์หกไปนอนวันพรากพี่น้อง
ทุกข์เจ็ดป้องหมูลงไปขาย        ทุกข์แปดพ่อแม่ตายแสนคึดฮอด
ทุกข์เก้าบ่มีเมียนอนกอด        ทุกข์สิบเทียวทางหลงยามค่ำ
ทุกข์สิบเอ็ดฝนตกฮ่ำกับฟ้าฮ้อง        ทุกข์สิบสองเจ็บท้องปวดบ่อมียา12
ความทุกข์อีกนัยหนึ่งที่คำสอนของชนชาวอีสานทราบชัดว่า  ชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาย  ดังนั้นมันต้องมีความทุกข์อยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารร่างกายที่จะต้องพบกับความลำบากทุกอย่าง  ซึ่งคำสอนในลักษณะนี้นักการศาสนาอีสานมองว่าเป็นความทุกข์ของชีวิตอีกแบบหนึ่ง  ดังนี้คือ
“ เที่ยวทางไกลอยากน้ำนี่กะยาก        ปวดม้ามไกลหมอนี่กะยาก
เฮ็ดนาทามน้ำท่วมข้าวนี่กะยาก        อยากเหล้าบ่อได้กินนี้กะยาก
ถากไม้สนขวานบ่อเข้านี่กะยาก        บ่อมีข้าวกินลูกหลานหลายนี่กะยาก
ตายบ่อมีพี่น้องหามไปถิ่มนี่กะยาก    ตอกหลิ่มใส่ลายขัดนี่กะยาก
ไปวัดเจ้าหัวบ่ออยู่นี่กะยาก        ไต่ขัวไม้ลำเดียวนี่กะยาก
เที่ยวทางไกลบ่อมีเพื่อนนี่กะยาก    ป้องไก่เถื่อนในดงนี่กะยาก( ภาษิตอีสาน 11
    หลักไตรลักษณ์
    คำสุภาษิตอีสานได้ช่วยย้ำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงหลักธรรมชาติของชีวิตตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ให้ทราบถึงหลักความไม่เที่ยงของสังขารตามที่พระพุทธเจ้าทรงชี้บอกว่าขันธ์  ๕  เป็นทุกข์และก็ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์  เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์  ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา(  อง. ติก. 20/137/278)

bandonradio

0 ความคิดเห็น:





กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons