วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

22.ความสัมพันธ์กันระหว่างบทเพลงลูกทุ่งไทยกับศาสนพิธิ

บุญพิธี
    พิธีทำบุญที่พุทธศาสนิชนปฏิบัติกัน  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นความพยายามของชาวพุทธที่จะปฏิบัติตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในโอวาทปาฎิโมกข์  คือให้ทำความดีหรือทำบุญ  เพื่อพื้นฐานแห่งคุณธรรมเบื้องสูงขึ้นไป (สุเมธ)
    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. ๒๕๒๔  ให้คำนิยามของคำว่า  “บุญ”  ว่า  “เครื่องชำระสันดาน,  ความดี,  กุศล, ความสุข”  ในบางแห่งกล่าวว่าได้แก่  ความภูมิใจ,การล้าง ความแจ่มใส, ชำระ
    บุญ  แปลว่า  เครื่องชำระสันดาน,  ความดี,  กุศล,  ความสุข,  ความประพฤติชอบทางกาย  วาจาและใจ  กุศลกรรม(พระมหาเอกนรินทร์  เอกนโร)
    อย่างไรก็ดี  บุญนี้  เมื่อว่าโดยความเป็นสาเหตุหรือเป็นชื่อของเหตุ  ก็คือปฏิบัติ  อันบุคคลจะต้องปฏิบัติ,  ต้องทำ,  ต้องบำเพ็ญ,  ต้องเจริญ,  ต้องประพฤติเมื่อกล่าวโดยความเป็นผลหรือเป็นของผล  ได้แก่ความสุขอันเกิดแต่บุญ  เช่น  มีทรัพย์  มียศ เป็นต้น  สมด้วยพุทธนิพนธ์ภาษิตว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ท่านทั้งหลาย  อย่าได้กลัวบุญเลย  เพราะคำว่าบุญเป็นชื่อแห่งความสุข
    บางที  “บุญ”  ก็ใช้คู่กันกับคำว่า  “บุญกุศล”  ก็มี  “บุญกิริยา”  ก็มี  และใช้เป็นกรณียกิจ  คือกิจอันพึงกระทำก็มี  แม้จะใช้คู่กันกับคำอื่นดังกล่าวมา   แต่ความหมายก็คงไม่ผิดแผกแตกต่างออกไปเท่าไรนัก  ความหมายถึงความดีอันเป็นเครื่องยังจิตใจตลอดถึงกาย  วาจาของผู้ประพฤติปฏิบัติให้สะอาดหมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง
    บทเพลงลูกทุ่ง  กล่าวถึงวิธีการทำบุญไว้อย่างมากมาย  และสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวชนบทที่ยังมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  เนื้อเพลงลูกทุ่งได้สะท้อนถึงความเชื่อของคนไทย  ในเรื่องพระพุทธศาสนาและเรื่องสวรรค์นรกไว้อย่างมากมาย   สำหรับในเรื่องของพระพุทธศาสนามักจะกล่าวเน้นถึงพิธีอันเป็นประเพณีของไทย(วินัย)    คือ  การบวช หรือ  อุปสมบท ทำบุญตักบาตรในเทศกาลต่าง ๆ  เช่น ขึ้นปีใหม่ ทอดผ้าป่า กฐิน สงกรานต์ ลอยกระทง เป็นต้น
    ชาวพุทธโดยทั่วไปมีประเพณีประจำครอบครัวอย่างหนึ่ง คือ การทำบุญภายในครอบครัว  เรียกว่าบุญพิธี  เพื่อการเฉลิมฉลอง  เป็นต้น วิธีการปฏิบัติพิธีทำบุญก็คือ การสมาทานศีล, สวดมนต์, เลี้ยงพระ,  ตักบาตรวิธีการปฏิบัติพิธีทำบุญก็คือ  การสมาทานศีล, สวดมนต์, เลี้ยงพระ, ตักบาตรและถวายทาน  เป็นต้น  พิธีทำบุญนี้อาจจะแยกประเภทได้เป็น  ๒  ประเภท  คือ พิธีทำบุญงานมงคล  และพิธีทำบุญงานอวมงคล (สุเมธ)
    ก. พิธีทำบุญงานมงคล
    พิธีการทำบุญงานที่เป็นมงคลนั้น  ส่วนมากชาวพุทธจะรู้จักและเข้าใจพิธีกรรมอยู่แล้ว  เพราะโดยทั่ว ๆ  ไปก็มีการอาราธนาพระภิกษุสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์  นิยมกำหนดจำนวนอย่างต่ำเป็นเกณฑ์  คือไม่ต่ำกว่า ๕,๗ หรือ  ๙  รูป  จำนวนพระที่จะเข้าพิธีเจริญพระพุทธมนต์  นิยมพระจำนวนคี่  เพื่อรวมกับพระพุทธรูปอีก  ๑  องค์  เนื่องจากคติโบราณครั้งพุทธกาลถือการทำบุญพิธีนั้น  มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานหมู่สงฆ์(สุเมธ)  ตามที่ปรากฎในพระบาลีว่า “พุทธธปฺปมุโข  ภิกฺขุ  สงฺโฆ”(พระราชวรมุนี)  แปลว่า  พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  แต่ในงานมงคลสมรส  นิยมนิมนต์พระจำนวนคู่  เพื่อให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวนิมนต์พระฝ่ายละเท่า ๆ กัน
    พุทธศาสนิกชนนิยมทำบุญไม่ว่าปรารถเหตุใด ๆ  ก็ให้เข้ากับหลักบุญกิริยาวัตถุ  คือ
ทานมัย  ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ
สีลมัย  ทำบุญด้วยการรักษาศีล
ภาวนามัย  ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา  คือฝึกอบรมจิตใจและทำในกรณีต่าง ๆ   กันตามเหตุที่ปราร
ภจึงเกิดพิธีกรรมขึ้นหลายประการเมื่อพิธีกรรมใด  เป็นที่นิยมและรับรองปฏิบัติสืบ ๆ มาจนเป็นพิธี พิธีกรรมนั้นก็กลายเป็นศาสนพิธีขึ้น(ชำเลือง)
    บทเพลงกล่าวถึงพิธีทำบุญงานมงคลอยู่หลายเพลง  ส่วนมากจะปรากฎเนื้อหาบทเพลง  เนื่องในเทศกาลต่าง ๆ  ที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมของคนไทย
    เพลงลูกทุ่งที่กล่าวถึงการทำบุญขึ้นปีใหม่  ซึ่งคนไทยเรามีธรรมเนียมประเพณีการอวยพรกันและกัน  กล่าวคำว่า “สวัสดีปีใหม่”  พร้อมทั้งให้ของขวัญด้วย   ในเพลงนี้แสดงให้เห็นว่าคนไทยมักจะมีน้ำใจและมีศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา  เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่มาถึงต่างก็ร่วมใจสามัคคีกันทำบุญ  ไม่ว่าอยู่ในที่ไหน ๆ  ก็ปรุนาบุญ   เพื่อที่จะส่งผลให้โชคดีนั้น  ดังเพลงว่า
    “รักกันชอบกัน        มาผูกพันวันปีใหม่
ทำบุญแล้วใจสว่าง        ทำบุญกันบ้างทั่วถิ่นเมืองไทย
บ้านโน้นก็มี  บ้านนี้ก็ทำ        พี่น้องชักนำไปทำบ้านใคร
ทราบไหมใครจัดที่วัดมีงาน        พี่น้องชาวบ้านช่วยกันร่วมใจ  ปีใหม่โชคดี
พวกพ้องน้องพี่  ขอให้มีโชคชัย    อยู่ห่างไกลที่ไหนก็มา
มีจิตศรัทธาทั้งเหนือทั้งใต้        นั่งรถมานานอีสานก็มา
ต่างยิ้มเริงร่าเมื่อมาร่วมใจ        ไหว้พระวิงวอน  เดือดร้อนเต็มที่
สิ่งไหนไม่ดี  ให้มันพ้นไป    ปีใหม่โชคดี  พวกพ้องน้องพี่  ขอให้มีโชคชัย”
        (ทำบุญปีใหม่ : ขับร้องโดย  พิมพา  พรศิริป
    เนื่องจากชีวิตในสมณเพศนั้นเป็นรูปแบบของการดำรงชีวิตแบบหนี่งที่จะต้องเสียสละความสะดวกสบายในทางโลกทุกประการ  เพื่อขจัดกิเลส  มุ่งบำเพ็ญคุณธรรมชั้นสูงขึ้นไปและในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้นก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้านอื่นด้วย  คือสงเคราะห์คฤหัสถ์ด้วยความเมตตาและเสียสละ
    ดังนั้นการพักอาศัยอยู่   จึงมิใช่วัตถุประสงค์หลักของพระสงฆ์วัตถุประสงค์หลักก็คือ  การอยู่เพื่อทั้งหน้าที่ตนพึ่งปฏิบัติต่อตนเองว่า   เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ตน  ควรแท้ทีเดียวที่จะยังประโยชน์ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท   เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ผู้อื่น  ก็ควรแท้ทีเดียวที่จะให้ประโยชน์นั้นสำเร็จ  ด้วยความไม่ประมาท  หรือเมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ควรแท้ทีเดียว  ที่จะให้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนั้น  สำเร็จด้วยความไม่ประมาท”(อง.สตฺตก.)  เมื่อว่างจากการทำงานก็ไปฟังเทศน์ประกอบการกุศล(อานนท์)   ชาวชนบทหยุดงานวันพระเพื่อทำบุญ   ซึ่งเป็นการสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนถึงปัจจุบัน
    ความนิยมในการทำบุญตักบาตร   ชาวชนบทส่วนใหญ่จะตักบาตรทุกวัน   ถึงวันพระก็ไปทำบุญที่วัด  หนุ่มชาวบ้านก็นำเอาศรัทธาในการทำบุญตักบาตรมาเกี้ยวสาวด้วย  เช่น

    “....แม้ถึงพระหน้า  พี่จะพาน้องไปทำบุญ  น้องจงเกื้อหนุนสร้างผลบุญเราตักบาตรร่วมขัน  น้องจับมือพี่ต่างสองร่วมถือสารภีเดียวกัน  อธิษฐานเสียก่อนเจ้า ๆ  ว่าขอให้สองเรารักชั่วชีวัน
    แม้นเหมือนเป็นบุญพี่ที่คนดีจะตอบว่า  แสนซื่อยิ่งนักโอ้ยอดรักรักจนสุดประมาณ  แม้แต่ยามจะนอนหลับโอ้ยยอดรักจนสุดประมาณ   แม้แต่ยามจะนอนหลับแล้วกลับย้อนไปถึงน้องที่ฝัน  ฝันว่าน้องหนุนตัก ๆ  ที่ได้ร่มเงารัก   อีตอนเมฆบังจันทร์”        (บ้านนาสัญญารัก :  นิยม   มารยาท)
    “....ยามมีงานสมภารวัดท่านประกาศ  ช่วยกันทำบุญ
ตักบาตรรักษาศาสนาเอาไว้  ช่วยคนละนิดช่วยอุทิศด้วย
สินน้ำใจ  ผลบุญนำมาแจ่มใสชื่นหัวใจบ้านนาเรานี้....”
    (บ้านนา : มนต์   เมืองเหนือ)
    ในสังคมชนบท  วันธรรมสวนะเป็นเสมือนตารางเรียนพุทธศาสนิกชนโดยทัวไปเพราะเป็นการกำหนดตามตัวแน่นอนว่า   เมื่อถึงวันธรรมสวนะ  พุทธศาสนิกชนจะต้องหยุดงานประจำวันแล้วพากันไปวัด  เพื่อใจ ให้สงบ  และขัดเกลากิเลสให้เบาบางลง  บางคนก็ได้รับการพัฒนาจิตใจสูงจนเกิดศรัทธาอาจหาญ   สามารถละโลกียสุขเสียได้(สุเมธ)
    คำว่า  “วันพระ”  ไม่มีปรากฎในคัมภีร์ดั้งเดิม  คือ  พระไตรปิฎกและอรรถกถา  ในเรื่องนี้ ร.ท.บรรจบ   บรรณรุจิ  ให้ทัศนะว่า “วันธรรมสวนะ”  ต่อมา  เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่มาถึงเมืองสุโขทัยชาวเมืองสุโขทัยเลยเปลี่ยนใหม่ว่า  “วันพระ”(บรรจบ)
    เพลงลูกทุ่ง  สะท้อนให้เห็นความเป็นไทยที่ยึดมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนา   มีศรัทธาจึงทำบุญบาตรทุกวัน  เมื่อถังวันพระก็ไปตักบาตรในวัด  หนุ่มสาวก็มีโอกาสได้ไปทำบุญและอธิษฐานรักด้วยกัน  ดังเพลงว่า
    “เกิดมาเป็นคนไทย น้องเอยจำไว้หมั่นทำบุญตักบาตร
    วันโกนวันพระอย่าให้ขาด  ทำบุญในใส่บาตรให้ทุก ๆ  วัน
    นี่ก็จวนวันพระ  น้องจ๊ะแจงเนื้อมัสมั่น  หูฉลาดนั่นสำคัญ
    สาเกต้มน้ำตาลอย่าลืมเอาไป
    เกิดชาติหน้าจะได้สวย  ผลบุญคงช่วยให้เจอะกันทุกชาติ
    อธิฐานทำใจให้สะอาด  เวลาใส่บาตร  เจ้าอย่าไปนึงถึงใคร
    ตั้งใจมั่นให้ดี  น้องถือทัพพีพี่จะถือขันให้  อย่าให้มองดูพระ
    เดี่ยวพระจะอาย  มองหน้าพี่ไว้คนเดียวก็พอ”
        (วันพระอย่าเว้น  :  สุรพล  สมบัติเจริญ)
    พิธีทำบุญบ้านนี้  นิยมทำกัน  เพราะถือว่าเป็นการได้พบพระสงฆ์และทำบุญถวายทาน  ความประสงค์ในการทำบุญนี้  ก็เพื่อขอให้เกิดความสุขสวัสดีจำเริญวัฒนา   ป้องกันสรรพพิบัติอุปัทวันตรายให้เว้นหนี  เป็นกุศลพิธีนิยมมาตั้งแต่พุทธกาล
    ผู้ประสงค์จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่  พึงกำนหดการตามหลักพิธีทางศาสนา  คือ
1.    นิมนต์พระสวดมนต์  รับอาหารบิณฑบาตรเช้า  หรือถวายเพล
2.    เตรียมด้วยสายสิญ3.    น์  บาตรน้ำมนต์
4.    เตรียมการต่าง5.     ๆ  เช่น  จัดสถานที่ที่บูชา  เหมือนกับการทำบุญ6.    โดยทั่วไป
7.    ถ้ายกศาลพระภูมิในวันเดียวกัน  ก็ไปบอกเชิญ8.    โหรและเตรียมการต่าง9.     ๆ
เมื่อถึงวันกำหนด  พระสงฆ์ก็มาเจริญพระพุทธมนต์  รุ่งขึ้นถวายอาหารบิณฑบาตรแก่สงฆ์  แต่ในปัจจุบั
นมักจะนิยมทำเสร็จภายในวันเดียวกันก็ไม่ถือว่าผิดพิธี  นอกจากนั้นก็จะมีการถวายเครื่องไทยธรรมรับพรและกรวดน้ำ   และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ  อาราธนาพระสงฆ์ให้ท่านโปรยทรายรอบบ้านทั่วทิศและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อเป็นมงคลแก่บ้าน
    เมื่อมีการทำบุญก็จะได้มีการบูชาเคารพพระรัตนตรัย  พระรัตนตรัยนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่ลึกซึ้งที่สุดในทางจิตเมื่อ  เราเข้าถึงพระรัตนตรัยการทำบุญบ้านคนไทยถือว่าเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว
    บทเพลงลูกทุ่งถึงการทำบุญบ้านตามหลักศาสนพิธีของพระพุทธศาสนา  โดยนิมนต์พระมาสวดมนต์หลังจากนั้นเมื่อถวายภัตตาหารเรียบร้อยแล้วก็มีการกรวดน้ำรับพรตามพิธีของชาวพุทธ  ดังบทเพลงว่า
    “วันเอ๋ยวันนี้  เป็นวันฤกษ์ดี  ศรีสุขถวัลย์  มงคลนำ
ทำบุญบ้านเถิดเลิศล้ำสำราญวิญญาณ์  เหมือนวิมานสถานเทวา
เทพบุตรธิดาต่างโปรยมาลาให้พร
    เพราะกุศลบนประสาน  ทำบุญบ้านอนุสรณ์
ความสั่งสมสิ่งสังวร  มีที่นอน  มีที่กิน  มีชายคาบังฟ้าฝน
ไร้กังวลสมถวิลดุจมัจฉามีวาริน  ดั่งนาคินมีบาดาล  มี
วิมานของเทพบุตร  เรามนุษย์ต้องมีบ้าน  โดยหยาด
เหงื่อและแรงงาน  อันไพศาลพฤตินัย
    ฟังเสียงโห่  โกลาลั่น  ฆ้องสนั่นสั่นไปไกล  เสียงดนตรี
ที่เร้าใจ  ชื่นอยู่ในประเพณี  พระสวดมนต์เจริญพร ให้
ถาวรตามวิถี  จบยถามาสัพพีตรวจวารีตามเวลากรวดน้ำ
หลั่งตั้งสติยังกิญจิ  บ้างอิมินา  แผ่กุศลคนศรัทธา  โมทนา
โดยสมภาร”
    (ทำบุญบ้าน : ไวพจน์  เพชรสุนทร)

bandonradio

0 ความคิดเห็น:





กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons